partmanman

วันนี้ก็จะมานำเสนอเมฆแปลกๆชวนสยดสยองให้ชมกันอีกลักษณะหนึ่งนะครับเมฆลักษณะนี้เขาเรียกว่าเมฆเมฆแมมมะทูส  มันเป็นเมฆที่มาพร้อมกับความเสียสยองของภัยธรรมชาติที่เราอาจจะคาดไม่ถึงนั่นก็คือเมฆ แมมมะทูส มีส่วนเชื่อมโยงกับ การเกิดพายุใหญ่ หรือก่อนเกิดพายุ ทอร์นาโด มันเชื่อมโยงกับการเกิดพายุทอร์นาโดพัดถล่มเมืองนั่นเองเพราะฉะนั้นถ้าเราเห็นเมฆชนิดนี้ปรากฏที่ใดก็แสดงได้ว่าหรือพยากรณ์ได้เลยว่าอีกไม่ช้าจะเกิดพายุใหญ่พัดกระหน่ำพังพินาศสันตะโรแน่นอนครับ  วันนี้ก็เลยมานำเสนอให้เพื่อนๆได้ชมกันหวังว่าคงจะมีประโยชน์บ้างพอสมควร แต่ดูลักษณะเมฆแล้วน่ากลัวมากๆเลยนะครับ เมฆแมมมะทูส เหนือเมืองมุมไบประเทศอินเดีย Mammatus Clouds เมฆ แมมมะทูส หรือ เมฆตะปุ่มตะปํ่า (Bumpy clouds) เป็น ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่จะทำให้เมฆเกิดเป็นเซล เป็นปุ่มเล็กปุ่มน้อย คล้ายถุงห้อยลงมาจากท้องฟ้า  โดยคำว่า "mammatus" มาจากภาษาลาติน mamma แปลว่าเต้านม ซี่งมาจากการที่ก้อนเมฆมีลักษณะคล้าย เต้านมของวัว  โดยแต่ละปุ่มมีขนาดใหญ่ 1 - 3 กิโลเมตร ยืนยาวลงมาประมาณ 0.5 กิโลเมตร เรียงรายยาวหลายร้อยกิโลเมตร  ลองมาดูโชว์เคสของ Happy shopping

ปรากฏการณ์ธรรมชาติของเมฆที่มีลักษณะแปลกๆโดยเฉพาะ manager เอ่ยถึงนี้คือปรากฏการณ์เมฆสีมุก"เมฆ" สารพัดสี ท่ามกลางอุณหภูมิเย็นจัด แล้วมันเป็นปรากฏการณ์เมฆลักษณะนี้ที่เกิดได้น้อยมากๆวันนี้ก็เลยจะนำมาเสนอให้เพื่อนๆได้ชมกันครับ ปรากฏการณ์เมฆสีมุก"เมฆ" สารพัดสี ท่ามกลางอุณหภูมิเย็นจัด เมฆสีมุกหรือเมฆนีเครอัส (nacreous clouds) ซึ่งเป็นเมฆชั้นสตาร์โทสเฟียร์และจะเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณท้องฟ้าขั้วโลกช่วงฤดูหนาวที่มีอุณหภูมิต่ำมากกว่า -80 องศาเซลเซียส  เมฆสีมุกมีลักษณะคล้ายเลนส์และมีสีสันต่าง ๆ ชัดเจน เช่น สีเขียว ชมพู หรือสีรุ้ง ฯลฯ เหมือนกับกาบหอยมุก (mother of pearl) โดยสามารถมองเห็นสีต่าง ๆ สว่างสวยงามเมื่อดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า  โดยแสงอาทิตย์กระทบกับเกล็ดน้ำแข็งและสะท้อนเข้ากับบรรยากาศชั้นสตาร์โตสเฟียร์ ซึ่งกลุ่มเมฆนีเครอัสมักจะปรากฏอยู่ไม่สูงจากพื้นมากนัก อย่างในภาพชิ้นนี้เมฆอยู่ห่างจากพื้นน้ำแข็งเพียงแค่ 8-10 กิโลเมตร เมฆสีมุกเป็นกลุ่มเมฆที่มีโอกาสเห็นได้น้อยมาก แต่ก็เกิดขึ้นในบางโอกาสที่ลมพัดผ่านไปทางภูเขาขั้วโลก Happy shoppee here สร้างสรรค์ อิสระเสรีภาพ  รวบรวมค้นหาส

กวางผีมีเขี้ยวที่ได้รับฉายาว่า กวางแวมไพร์ กวางแปลกมีฟันแหลมยาวเหยินออกมานอกปาก คล้ายเขี้ยวผีดิบแวมไพร์ มองๆมันน่ากลัวเหมือนกันนะครับกวางบ้าบออะไรมีเขี้ยวอย่างผีดิบ หากพูดถึงกวาง ทุกคนคงนึกถึงสัตว์หน้าตาน่ารัก ดูไร้พิษภัย และไร้อาวุธ แต่เชื่อหรือไม่ว่าบนโลกของเรามีกวางที่มี “เขี้ยว” อยู่ด้วย แต่พวกมันมีไว้สู้กันเอง ไม่ได้ใช้หาอาหารหรือป้องกันตัวจากนักล่าเป็นวัตถุประสงค์หลัก 🦌 กวางชนิดแรกที่เราจะพาไปทำความรู้จักกัน คือ Water deer (ชื่อวิทยาศาสตร์ Hydropotes inermis) หรือกวางน้ำ จัดเป็นกวางขนาดเล็ก มีถิ่นอาศัยในประเทศจีนและเกาหลี มีลักษณะลำตัวคล้ายกับกวางทั่วไป แต่มีจุดเด่นตรงที่พวกมันจะมีเขี้ยว 1 คู่ งอกยาวจากริมฝีปากด้านบน สำหรับใช้ในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอาณาเขตหรือคู่ครอง จนได้รับฉายาว่า กวางแวมไพร์ ชื่อของพวกมันมาจากพฤติกรรมที่ชอบออกหากินใกล้กับหนองน้ำหรือแม่น้ำ และเป็นนักว่ายน้ำที่เชี่ยวชาญ โดยสามารถว่ายน้ำได้ไกลหลายไมล์เพื่อไปยังเกาะกลางแม่น้ำ แต่ในปัจจุบันพวกมันกำลังเสี่ยงสูญพันธุ์ทั้งจากนักล่าตามธรรมชาติ และการล่าเพื่อเป็นกีฬา กวางอีกชนิดหนึ่งที่มีเขี้ยวยาวคือ กวางมัสก์ (Musk de

เล่าเรื่องย้อนอดีตน้ำแข็งในสยาม “น้ำแข็ง” คลายร้อนเมื่อร้อยปีก่อน ชาวสยามเริ่มรู้จักน้ำแข็งกันในราวรัชกาลที่ 4 การทำของเหลวให้เป็นของแข็งและมีความเย็นถือเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อในสมัยนั้น แต่นายเลิศสามารถก่อตั้งโรงน้ำแข็งขึ้นมาจนได้รับฉายาว่า “ผู้ปั้นน้ำเป็นตัว” นายเลิศก่อตั้งโรงน้ำแข็งขึ้นโดยใช้ชื่อว่า น้ำแข็งสยาม หรือ SIAM ICE WORKS แต่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า โรงน้ำแข็งนายเลิศ ตั้งอยู่ใกล้สะพานพิทยเสถียร หรือซอยเจริญกรุง 26 ในปัจจุบัน เมื่อเปิดเดินเครื่องทำน้ำแข็ง ปรากฎว่าเป็นที่ฮือฮาอย่างมาก  ใครๆ ก็อยากมาดูการปั้นน้ำเป็นตัว ผู้คนต่างก็มามุงดูของแปลกที่เย็นฉ่ำกันที่หน้าโรงน้ำแข็ง เมื่อตั้งโรงน้ำแข็ง คุณหญิงสิน (ภรรยาของนายเลิศ) ก็คิดทำไอศกรีมขึ้น โดยทำครีมสีต่างๆ หยอดสลับสีลงไปบนถาดเหล็ก นำไปแช่แล้วตัดเป็นท่อนได้เป็นไอศกรีมสามสีห่อด้วยกระดาษไขแช่เย็นแบบ Cassata Ice Cream (ไอศกรีมแท่งเป็นชั้นๆ แบบอิตาเลียน)  ต่อมาก็ได้ทำน้ำแข็งกด (น้ำแข็งไส) ให้ชาวสยามได้ลิ้มลองความเย็นของเกล็ดน้ำแข็งชโลมด้วยน้ำแดงหวานฉ่ำ เป็นหวานเย็นคลายร้อนได้ดีทีเดียว หรือถ้าหากต้องการสั่งน้ำแข็งไปที่

'Kaffeeform' ผลิตแก้วกาแฟจาก 'กากกาแฟ และเยื่อไม้รีไซเคิล' เพื่อลดบรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้งให้ได้มากที่สุด เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับการรีไซเคิลเอาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์มาทำให้เป็นประโยชน์กากกาแฟขี้เลื่อยหรือขยะอะไรก็แล้วแต่ถ้านำกลับมาใช้ได้อีกมันจะเป็นผลดีต่อโลกและลดภาวะขยะลงได้เยอะเลย เครื่องดื่มคาเฟอีนสีเข้มยอดฮิตที่มีชื่อว่า 'กาแฟ' เป็นสิ่งที่บริโภคกันทั่วทุกมุมโลก ข้อมูลจาก British Coffee Association บอกว่า มนุษย์เรากินกาแฟรวมกันประมาณ 2 พันล้านแก้วต่อวัน ซึ่งแน่นอนว่ามีคนกินกันเยอะขนาดนี้ สิ่งที่ตามมาก็คือปริมาณขยะจำนวนมหาศาล ไหนจะแก้ว ไหนจะฝา ไหนจะหลอด รวมไปถึงกากกาแฟที่เหลือจากการทำกาแฟอีก เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว ดีไซน์เนอร์ชาวเยอรมัน ชื่อว่า 'Julian Lechner' จึงได้อาศัยโอกาสนี้ ค้นหาวิธีการนำเอา 'กากกาแฟ' - ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการทำกาแฟ - มาใช้ต่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เขาค้นพบว่าอันที่จริงแล้วกากกาแฟสามารถนำมาทำเป็นแก้วกาแฟได้ โดยเขานำเอากากกาแฟผสมเข้ากับวัสดุธรรมชาติอื่นๆ  ซึ่งแก้วหนึ่งใบจะใช้กากกาแฟจากกาแฟที่ชงแล้วประมาณ 6 แก้ว Ju

Coco de Mer มะพร้าวทะเลรูปทรงประหลาดที่ได้ชื่อว่าเป็นเมล็ดพืชที่ใหญ่ที่สุดในโลก จะเอ่ยถึงมะพร้าวทุกๆคนก็คงรู้จักกันแล้วนะครับว่ามะพร้าวอ่ะรูปร่างผลต้นมะพร้าวเป็นอย่างไรคงจะนึกภาพออกนะครับแต่มีมะพร้าวชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Coco de Mer มะพร้าวทะเลรูปทรงประหลาดที่ได้ชื่อว่าเป็นเมล็ดพืชที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดได้ว่าเป็นเมล็ดพืชที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้นะครับ ในวันนี้ราคาของมะพร้าวทะเลก็ยังแพงอยู่ จากการตรวจราคาการประมูลในอีเบย์พบว่า ตกใบละ 1000-1500 ดอลลาร์สหรัฐ มะพร้าวทะเลได้รับการกล่าวถึงในหนังสือกินเนสว่าเป็นเมล็ดผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีน้ำหนักถึงลูกละ 20 กิโลกรัม กว่าผลจะสุกต้องใช้เวลา 7 ปี กว่าจะเติบโตออกดอกออกผลได้ต้องมีอายุ 20 ปีถึง 40 ปี และมีอายุยืนถึง 400 ปี บทความเหล่านี้มีหลายๆที่ที่นำเสนอแต่ส่วนหนึ่งที่ผมจะนำเสนอนี้มาจากบทความจากวิกิพีเดียครับ บริเวณหมู่เกาะเขตร้อนของหมู่เกาะเซเชลส์เป็นบ้านของต้นปาล์มในตำนานที่มีเมล็ดใหญ่โตมโหฬารจนได้รับการบันทึกจากกินเนสส์บุ๊กว่าเป็น “เมล็ดพืชที่ใหญ่ที่สุดในโลก” Lodoicea maldivica หรือ Coco de Mer หรือที่รู้จักกันในชื่อ มะพร้าวแฝด, ตาลทะเล ห

จากบทความนี้ไม่ใช่แค่ทะเลเท่านั้นที่จะเค็มต่อไปในอนาคตแผ่นดินอากาศสภาพแวดล้อมจะเค็มไปหมด 😂แล้วคนก็จะเค็มไปด้วย เพราะ คนจะมีแต่ความโลภ มีความเค็มเป็นที่ตั้งจึงเรียกคนที่เค็มว่าไอ้เค็ม...😂 เตรียมตัวเตรียมใจต่อไปจะไม่ได้มีแค่ทะเลเท่านั้นที่เค็ม แต่ดินและพื้นโลกก็จะเค็มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน งานวิจัยใหม่เผยว่าโลกของเรากำลังมีความเค็มมากขึ้น และมันก็เป็นผลมาจากมลพิษทุกอย่างที่มาจากมนุษย์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราในทุก ๆ ด้านทั้งน้ำที่เรากินและอากาศที่เราหายใจ . ต้องกล่าวก่อนว่าเมื่อพูดถึงเกลือและความเค็มในทางวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญไม่ได้พูดถึงเฉพาะเกลือที่ใส่อาหาร (โซเดียมคลอไรด์) เท่านั้น แต่ยังรวมถึงสารประกอบทางเคมีอื่น ๆ เช่นหินปูน ยิปซั่ม หรือแคลเซียมซัลเฟต เอาเป็นบนโลกนี้มีแร่ธาตุจำนวนมากที่ให้ความเค็ม และโดยทั่วไปแล้วดาวเคราะห์โลกมีสิ่งที่เรียกว่า ‘วัฏจักรของเกลือ’ ตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นกระบวนการทางธรณีวิทยาและอุทกวิทยา(น้ำ) เช่น การผุกร่อนหินจะทำให้แร่ธาตุไหลเวียนไปตามผิวโลกโดยใช้ระยะเวลานานหลายล้านปีกว่าจะครบ 1 รอบวัฏจักร  ยังไงก็ตามในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา กิจกรรมของมนุ