บทความ

นักวิทย์เปิดตัว แผนที่แผ่นดินใต้ธารน้ำแข็งแอนตาร์กติกา พร้อมหุบเขาที่ ลึกที่สุดในโลก

รูปภาพ
นักวิทย์เปิดตัว แผนที่แผ่นดินใต้ธารน้ำแข็งแอนตาร์กติกา พร้อมหุบเขาที่ “ลึกที่สุดในโลก" ในตอนที่มองแผนที่ของทวีปแอนตาร์กติกา เชื่อว่าคงมีหลายคนไม่น้อยที่รู้สึกขึ้นมาว่าที่แห่งนี้ มันช่างทั้ง “แบน” และไร้จุดเด่นอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ นั่นเพราะนอกจากธารน้ำแข็งสุดลูกหูลูกตาแล้ว ที่แห่งนี้ ก็เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีอะไรเลยก็คงไม่ผิดนัก ว่าแต่ เพื่อนๆ ทราบกันหรือไม่ว่าภายใต้ธารน้ำแข็งที่ปกคลุมพื้นที่ขั้วโลกใต้ มาแทบจะชั่วกัลป์ชั่วกาลนั้น แท้จริงแล้วมันยังมีพื้นดินของทวีปในอดีต ที่มีทั้งเดินและหุบเขาใหญ่โตซ่อนอยู่ด้วย นั่นเพราะเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ทางองค์กรอวกาศของสหรัฐอเมรกาหรือ นาซา ได้มีการออกมาเปิดเผยแผนที่ชิ้นใหม่ล่าสุด ของขั้วโลกใต้ ที่มีจุดเด่นอยู่ที่การแสดงพื้นดินและหุบเขา  ที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำแข็งเหล่านี้เอาไว้ แผนที่ชิ้นใหม่นี้ถูกเรียกว่า “BedMachine Antarctica” โดยมันเป็นแผนที่ที่อาศัยข้อมูลของการเคลื่อนไหวของน้ำแข็ง การไหวสะเทือนของพื้นที่ ไปจนถึงเรดาร์และข้อมูลอื่นๆ เพื่อสร้างแผนที่ผืนดินใต้น้ำแข็ง ที่มีรายละเอียดชัดเจนที่สุดเท่าที

นักธรรมชาติวิทยาชื่อดังเตือน โลกจะพบหายนะหากไม่รีบแก้ไขภายในทศวรรษนี้

รูปภาพ
สภาวะโลกร้อน : เซอร์ เดวิด แอตเทนบะระ นักธรรมชาติวิทยาชื่อดังเตือนโลกจะพบหายนะหากไม่รีบแก้ไขภายในทศวรรษนี้ เซอร์ เดวิด แอตเทนบะระ  นักธรรมชาติวิทยาอังกฤษ ออกมาเตือนว่าธรรมชาติและสังคมมนุษย์จะได้รับความเสียหายแบบไม่สามารถแก้ไขได้ หากไม่มีมาตรการป้องกันการเปลี่ยนแปลง ทางสภาพภูมิอากาศที่เด็ดขาดภายในทศวรรษนี้ นี่เป็นคำเตือนที่แข็งกร้าวที่สุดของเขาผ่านสารคดีบีบีซี Climate Change - The Facts ซึ่งให้คำอธิบายด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ผลกระทบต่อโลกขณะนี้ และขั้นตอนวิธีที่จะสามารถต่อสู้กับปัญหานี้ได้ "20 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ผมเริ่มพูดเรื่องผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศต่อโลกของเราปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ  ไปเปลี่ยนแปลงไปเร็วกว่าที่ ผมคาดคิดไว้ " แอตเทนบะระ กล่าวในสารคดี "มันอาจจะฟังดูน่ากลัว และหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชี้ว่า หากเราไม่มีมาตรการป้องกันการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่เด็ดขาดภายในทศวรรษนี้ ธรรมชาติอาจเสียหายแบบไม่อาจแก้ไขได้ และสังคมมนุษย์เราก็จะล่มสลายลง" สารคดีนี้มีการพูดคุยกับนักวิทยาศาสตร์หลายคน โดยชี้ให้เห

เข็มนาฬิกาวันสิ้นโลก ไม่ขยับหายนะจ่อชาวโลก 2 นาทีตามเดิม

รูปภาพ
นักวิทย์ด้านปรมาณูไม่ปรับเข็มนาฬิกาวันสิ้นโลก คงไว้ที่ 2 นาทีก่อนถึงเที่ยงคืนตามเดิม ชี้เป็นสัญญาณเตือนผู้นำโลก ให้ระวังปัญหาต่างๆ ทั้งโลกร้อน และสงครามข่าวสาร... สำนักข่าว บีบีซี รายงานว่า กลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากองค์กรจดหมายข่าวนักวิทยาศาสตร์ด้านปรมาณู (BAS) ประกาศที่สำนักงานในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ว่า เข็มของ ‘นาฬิกาวันสิ้นโลก’ ยังคงห่างจากเที่ยงคืน 2 นาทีเท่ากับในปี 2561 โดยนาฬิกาวันสิ้นโลกเป็นการบอกเวลาเชิงสัญลักษณ์บ่งชี้สถานการณ์โลก ว่ามีโอกาสเกิดหายนะขึ้นมากเพียงไร BAS ระบุว่า การที่เข็มนาฬิกายังอยู่ตำแหน่งเดิมนับว่าเป็นข่าวร้าย แม้จะไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 2561 แต่เรื่องนี้ไม่ใช่สัญญาณว่าสถานการณ์คงที่ แต่เป็นคำเตือนถึงผู้นำและพลเมืองทั่วโลก พวกเขายังเชื่อว่า อาวุธนิวเคลียร์และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ยังเป็น 2 ภัยคุกคามหลักต่อมนุษยชาติ ทั้งนี้ BAS ยอมรับว่ามีพัฒนาการที่ดีในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีเหนือ แต่ก็วิพากษ์วิจารณ์ปัญหาต่างๆ เช่น การเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนเรือนกระจกในบางประเทศ และปัญหาทางการทูตที่เกิดขึ้นทั่วโลก และเตือนด้วยว

ธารน้ำแข็งแห่งแรกของประเทศไอซ์แลนด์ ที่ละลายเพราะภาวะโลกร้อน

รูปภาพ
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมาประชาชน ประเทศไอซ์แลนด์    มากกว่าร้อยคน   และนายกรัฐมนตรี   Katrin Jakobsdottir   รวมทั้งตัวแทนประเทศจากสหรัฐอเมริกา  ได้พากันร่วมจัดงานไว้อาลัย   Okjokull    ธารน้ำแข็งที่แรกของประเศ  ที่มีอายุกว่า  700  ปีกำลังละลายเนื่องจาก ปัญหาภาวะโลกร้อน โดยได้มีการติดแผ่นป้ายโลหะตั้งไว้บนหินอนุสรณ์สถาน  บริเวณพื้นดินที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นภูเขาน้ำแข็ง  พร้อมมีข้อความที่ได้ระบุไว้ว่า  "จดหมายสำหรับอนาคต  Ok  เป็นธารน้ำแข็งแห่งแรกในไอซ์แลนด์  ที่ต้องสูญเสียสถานภาพการเป็นธารน้ำแข็ง  และในอีกประมาณ  200 ปี ข้างหน้าเชื่อว่าธารน้ำแข็งแห่งอื่นที่เหลืออยู่ก็อาจเผชิญกับสถานการณ์เช่นเดียวกัน   อนุสรณ์สถานแห่งนี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อให้เห็นว่า  พวกเราทุกคนรับรู้ถึงสิ้งที่ได้เกิดขึ้น  และอะไรคือหน้าที่ที่เราควรทำ  อยู่ที่ตัวคุณเท่านั้นที่จะรู้ได้ว่ามันจะสำเร็จหรือไม่"   พร้อมทั้งยังมีการสลักตัวหนังสือว่า  "415  ppm  CO2"  ที่หมายถึงค่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ที่สามารถวัดได้บนชั้นบรรยากาศเมื่อเเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ย้อนกลับไ

เมื่อน้ำแข็งทั้งโลก ละลาย แผ่นดินประเทศไทยจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร

รูปภาพ
เมื่อน้ำแข็งทั้งโลก ละลาย แผ่นดินประเทศไทยจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร น้ำแข็งละลายหมดโลกจะใช้เวลาประมาณ 5,000 ปี และอุณหภูมิโลกในช่วงนั้นจะสูงขึ้นจากค่าเฉลี่ยทั่วโลกในปัจจุบัน 14 องศาเซลเซียส เป็น 26 องศาเซลเซียส (กรุงเทพฯ วันนี้ 21 เมษายน 2562 อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส) นั่นหมายความว่า กรุงเทพฯ ในวันที่ไร้น้ำแข็ง จะมีอุณหภูมิสูงถึง 49 องศาเซลเซียส ในะเวลานั้น น้ำทะเลจะสูงขึ้น 72 เมตร และนี่คือหน้าตาของประเทศไทยในอีก 5,000 ปี ข้างหน้า ในระยะเวลาอันใกล้ 31 ปีจากนี้ ถ้าอุณหภูมิของโลกยังคงขึ้นสูงในอัตรานี้ ในปี ค.ศ. 2050 น้ำทะเลจะสูงขึ้น 0.5 เมตร และในอีก 81 ปีข้างหน้า จะสูงมากถึง 2.5 เมตร ในปี ค.ศ. 2100 ขนาดแผ่นน้ำแข็งในปี ค.ศ. 1979 และขนาดของแผ่นน้ำแข็งที่เล็กลงเหลือ 2 ใน 3 ในปี ค.ศ. 2018 ถ้าหากน้ำแข็งบนแผ่นดินกรีนแลนด์ ละลายหมด จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับประเทศไทย น้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น 5-7 เมตร และนี่คือแผนที่ประเทศไทยเมื่อน้ำทะเลสูงขึ้น 7 เมตร แผ่นดินกรุงเทพฯ อยุธยา สระบุรี ลพบุรี สุพรรณบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรสาคร จะถูกน้ำท่วม

ระดับน้ำทะเลอาจเพิ่มสูงขึ้นกว่า 2เมตร ภายในปี 2100 ประชาชน 187 ล้านคนไร้ที่อยู่อาศัย

รูปภาพ
รายงานเผย  ระดับน้ำทะเลอาจเพิ่มสูงขึ้นกว่า 2เมตร ภายในปี 2100 ประชาชน 187 ล้านคนไร้ที่อยู่อาศัย จากรายงานด้านสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงสถานการณ์น้ำแข็งขั้วโลกละลาย เนื่องจากสภาวะโลกร้อนนั้น ส่งผลให้หลายเมืองชายฝั่งทั่วโลกประกาศเตือน และเตรียมรับมือกับสถานการณ์ความเป็นไปได้ที่ระดับน้ำทะเลอาจเพิ่มสูงขึ้นกว่า 2 เมตรภายในศตวรรษนี้ หรือภายในปี 2100 ซึ่งจะส่งผลกระทบครั้งใหญ่ต่อมนุษยชาติ โจนาธาน แบมเบอร์ นักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมประจำ University of Bristol เปิดเผยว่า สถานการณ์ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นกำลังเป็นที่น่าวิตก ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ภายใน 80 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้ที่ดินกว่า 1.79 ล้านตารางกิโลเมตรได้รับความเสียหาย ประชากรโลกกว่า 187 ล้านคนไร้ที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะดินแดนและประเทศในแถบมหาสมุทรแปซิฟิก เขาระบุว่า มีความเป็นไปได้ราว 1 ใน 20 หรือราว 5% ที่ระดับน้ำทะเลอาจเพิ่มสูงขึ้นกว่า 2 เมตรภายในปี 2100 หากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้น 5 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าอุณหภูมิที่ประชาคมโลกตกลงกันไว้ในที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเ

โลกร้อนอาจทำให้สิ้นชาติ อุณหภูมิโลกอาจพุ่งขึ้นได้ถึง 14 องศาเซลเซียส มนุษย์เขตร้อนหมดทางรอดชีวิต

รูปภาพ
*ก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ความเข้มข้นเฉลี่ยของคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ราว 280 ส่วนต่อล้านส่วน (หรือเรียกว่า ppm) แต่ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ในปัจจุบันความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ยพุ่งขึ้นไปถึง 411 ppm แล้ว *ว่ากันว่าถ้าตัวเลขนี้พุ่งถึง 500 ppm จะถึง The Point of No Return คือไม่อาจหวนคืนกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก แต่กระนั้นหลายคนก็ยังรู้สึก ‘เฉยๆ’ กับเรื่องพวกนี้ เพราะยังไม่เห็นผลที่เกิดขึ้นแบบ ‘ฉับพลันทันที’  *แบบในหนัง แต่ถ้ามองด้วยมิติของ Deep Time หรือ Geologic Time ที่เรียกว่า ‘ธรณีกาล’ แล้ว สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ถือว่า ‘เร็ว’ เอามากๆ แล้วที่สำคัญก็คือ มันมีกระบวนการ ‘เร่งทำลายตัวเอง’ เกิดขึ้นอยู่ด้วย ซึ่งถ้าหากว่าเรายังไม่ทำอะไรเลย ยังอยู่กันไปวันๆ แบบนี้ ที่สุดเราจะสิ้นชาติและไม่มีแผ่นดินจะอยู่! ในท่ามกลางกระแสการเมืองร้อนแรงนี้ อยู่ๆ ผมก็นึกถึงการเปรียบเทียบของ นพ.ประเวศ วะสี เรื่อง ‘ไก่ในเข่ง’ ขึ้นมา ‘ไก่ในเข่ง’ ของคุณหมอประเวศมีนัยหมายถึงการแตกความสามัคคีจะทำให้เกิดความล่มสลาย เหมือนไก่ในเข่งที่เขาจะเอาไปเชือดแต่ก็ยังจิกตีกันเป็นสามารถ แต่