โลกเผชิญหายนะภูมิอากาศ สัตว์หลายชนิดสูญพันธุ์ เมื่อสนามแม่เหล็กโลกกลับขั้ว 42,000 ปีก่อน

รูปโลกมีสนามแม่เหล็กสีแดงม่วง
โลกเผชิญหายนะภูมิอากาศ สัตว์หลายชนิดสูญพันธุ์ เมื่อสนามแม่เหล็กโลกกลับขั้ว 42,000 ปีก่อน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มได้พยากรณ์ไว้ว่า เหตุการณ์ที่สนามแม่เหล็กโลกพลิกกลับโดยสลับตำแหน่งของขั้วเหนือ-ขั้วใต้กันนั้น กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในราว 2,000 ปีข้างหน้า แต่ก็ยังไม่มีใครยืนยันได้ว่า เหตุการณ์นี้จะทำให้เกิดหายนะภัยร้ายแรงทั่วโลกอย่างที่นวนิยายหรือภาพยนตร์ฮอลลีวูดจินตนาการไว้หรือไม่

แต่ล่าสุดทีมนักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลีย ได้เผยผลวิจัยลงในวารสาร Science หลังศึกษาเหตุการณ์ดังกล่าวในอดีตอย่างละเอียด โดยพวกเขาพบว่าเหตุสนามแม่เหล็กโลกกลับขั้วในช่วงสั้น ๆ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะถึงยุคปัจจุบัน หรือที่เรียกว่า "เหตุการณ์ลาส์ชอมป์" (Laschamps Event) มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับเหตุวิกฤตด้านภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นทั่วโลกในเวลานั้น
มีการศึกษาปริมาณของคาร์บอนกัมมันตรังสีหรือคาร์บอน-14 ในวงปีของซากฟอสซิลต้นไม้โบราณ โดยต้นไม้นี้มาจากพื้นที่ชุ่มน้ำทางตอนเหนือของนิวซีแลนด์ และมีอายุเก่าแก่ร่วมสมัยเดียวกับเหตุการณ์ลาส์ชอมป์

ผลวิเคราะห์พบว่ามีปริมาณของคาร์บอน-14 เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในวงปีแต่ละชั้นของต้นไม้ ซึ่งแสดงว่าธาตุคาร์บอนบนพื้นโลกถูกแปรสภาพด้วยรังสีจากห้วงอวกาศรุนแรงขึ้นทุกขณะ อันเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่าสนามแม่เหล็กโลกนั้นอ่อนกำลังลงไปทุกที จนไม่อาจปกป้องโลกจากรังสีอันตรายได้

สนามแม่เหล็กโลก (สีฟ้า) ปกป้องเราจากรังสีอันตรายที่มาจากดวงอาทิตย์

ข้อมูลดังกล่าวทำให้ผู้วิจัยสามารถคำนวณหาช่วงเวลาที่ขั้วแม่เหล็กโลกเริ่มเคลื่อนที่ และช่วงเวลาที่สนามแม่เหล็กโลกเริ่มอ่อนกำลังลงได้แม่นยำกว่าเดิม โดยพบว่าความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่การกลับขั้วแม่เหล็กโลกอย่างสมบูรณ์ในเหตุการณ์ลาส์ชอมป์นั้น ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 42,000 ปีก่อน และใช้เวลาเพียง 800 ปี ก่อนที่การสลับขั้วแม่เหล็กโลกอย่างเต็มรูปแบบจะเกิดขึ้น

ทีมผู้วิจัยยังพบว่า ความเข้มของสนามแม่เหล็กโลกในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่เหตุการณ์ลาส์ชอมป์ ลดต่ำลงจนเหลือเพียง 0% - 6% ของระดับปกติเท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่าโลกในยุคดังกล่าวไม่มีสนามแม่เหล็กห่อหุ้มอยู่เลย ทำให้รังสีจากห้วงอวกาศสามารถแผดเผาทำลายชั้นโอโซน ส่งผลให้ภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง และยังทำอันตรายต่อสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตบนโลกด้วย

ดร. อลัน คูเปอร์ ผู้นำทีมวิจัยจากพิพิธภัณฑ์เซาท์ออสเตรเลียนบอกว่า "เหตุการณ์ที่สนามแม่เหล็กโลกหายไปนั้น เกิดขึ้นโดยประจวบเหมาะกับวัฏจักรสุริยะที่อยู่ในช่วงพลังงานต่ำสุดพอดี ทำให้สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์อ่อนกำลังลงตามไปด้วย จนไม่อาจช่วยปกป้องโลกจากรังสีอันตรายในห้วงอวกาศได้"

เมื่อมีการสลับขั้วแม่เหล็กโลก เราจะเห็นแสงเหนือบนท้องฟ้าได้มากขึ้น แต่นั่นไม่ใช่เรื่องดี

ทีมผู้วิจัยยังชี้ว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวน่าจะมีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับภาวะวิกฤตทางสิ่งแวดล้อมทั่วโลก ซึ่งต่างก็พากันเกิดขึ้นในยุคเดียวกัน เช่นการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของบรรดาสัตว์ในทวีปออสเตรเลีย การสูญพันธุ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดยักษ์ หรือแม้กระทั่งการสูญพันธุ์ของมนุษย์โบราณนีแอนเดอร์ทัล

"แน่นอนว่าสัตว์หลายชนิดจะไม่สามารถปรับตัวอยู่กับภาวะที่มีรังสีอัลตราไวโอเลตรุนแรงเช่นนั้นได้ แต่ก็มีบางเผ่าพันธุ์รวมทั้งมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ที่เอาชีวิตรอดมาได้"
"หลักฐานจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ชี้ว่า ในช่วงระหว่าง 42,000 - 41,000 ปีที่แล้วนั้น เกิดภาพเขียนบนผนังถ้ำที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ยุคใหม่ ทั้งมีการใช้ดินแดงทาตัวอย่างแพร่หลาย ซึ่งก็อาจเป็นเครื่องบ่งชี้ว่ามนุษย์ได้ปรับตัวมาใช้ชีวิตในร่มและหลบเลี่ยงแดดมากขึ้น ซึ่งก็อาจเป็นผลมาจากการสลับขั้วแม่เหล็กโลกในยุคนั้นนั่นเอง"

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เมฆสีมุก เมฆสารพัดสีปรากฏการณ์เมฆแปลกๆที่หาดูได้ยากมาก

Troll A นอร์เวย์ แท่นขุดเจาะก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก...

อารยธรรมต่างดาวอาจตรวจจับสัญญาณโทรศัพท์มือถือของเราได้