8 เมืองใหญ่จะสาบสูญศตวรรษหน้า
หลงลืมกันไปนานถึงพิษภัยของภาวะโลกร้อน
ต้องขอบคุณ “วิกฤติฝุ่นพิษ” ที่กระตุ้นให้คนไทยหวาดผวาตื่นตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นี่แค่สัญญาณเตือนเบาะๆเท่านั้น เมื่อเร็วๆนี้มีการทำนายจากกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ระดับหัวหอกของโลกว่า ในอีก 8 ทศวรรษข้างหน้า จะมี 8 เมืองใหญ่มหาอำนาจของโลกต้องกลายเป็นเมืองผีสิงไร้ผู้คนอาศัย เพราะทนการแผดเผาของอุณหภูมิโลกที่ร้อนระอุเป็นไฟไม่ได้
🌎ในรายงานสุดลับของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาล ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ก่อตั้งโดยองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) และโครงการ สิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) คาดการณ์ว่าภายในปี 2040 อุณหภูมิทั่วโลกจะสูงขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส จากระดับเดิมในยุคก่อนอุตสาหกรรม ส่งผลให้ กรุงเทพมหานคร, ชิคาโก, ไมอามี, นิวออร์ลีนส์, ดูไบ, อาบูดาบี, เซี่ยงไฮ้, ปักกิ่ง และนิวเดลี เสี่ยงจะหายวับไปกับตา กลายเป็น “เมืองร้าง” ในอีกไม่กี่ ปีข้างหน้า
ช็อกไหมล่ะ เกิดอะไรขึ้นกับเมืองทรงอิทธิพลเหล่านี้?! นักวิทยาศาสตร์หลายสำนักพากันคาดการณ์ว่า “ไมอามี” และ “นิวออร์ลีนส์” จะถูกน้ำท่วมจมหายเป็น “เมืองบาดาล” ในอีก 8 ทศวรรษข้างหน้า เพราะมีทำเลที่ตั้งอยู่บนฝั่งทะเลด้านตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ที่ผ่านมาก็ต้องผจญกับภัยพิบัติธรรมชาติไม่ได้หยุดหย่อน และในอนาคตจะยิ่งถูกถล่มหนักขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นผลมาจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากโลกร้อน ด้าน “ชิคาโก” ก็มีชะตากรรมเลวร้ายไม่แพ้กัน
โดยจะแพ้ภัยคลื่นความร้อนที่แผดเผารุนแรงจนไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุขได้ เมื่อปี 1995 มีประชากรในชิคาโกมากกว่า 700 คน เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนสูง ซึ่งส่งผลให้อุณหภูมิพุ่งขึ้นไปถึง 41 องศาเซลเซียส
สำหรับเมืองทะเลทรายที่เต็มไปด้วยตึกระฟ้าสูงที่สุดในโลกอย่าง “ดูไบ” ทำนายว่า ภายในปี 2070 อุณหภูมิจะทะยานขึ้นไปถึง 45 องศาเซลเซียส จากปกติที่มนุษย์ทานทนได้ไม่เกิน 35 องศาเซลเซียส คนดูไบจึงถูกสอนแต่เด็กว่าช่วงฤดูร้อน ในเดือนมิถุนายนถึงกันยายน ไม่จำเป็นอย่าออกจากบ้านเด็ดขาด อาจตายได้เพราะร่างกายปรับตัวไม่ทัน ขณะที่ “อาบูดาบี” ก็จะร้างผู้คนอยู่อาศัยในอีก 80 ปีข้างหน้า เพราะคาดการณ์ว่าอุณหภูมิจะทะลุปรอทถึง 52 องศาเซลเซียส ถึงจะรวยเป็นเศรษฐีบ่อน้ำมัน แต่ถ้าไม่อยากตายเพราะคลื่นความร้อน ก็ต้องอพยพหาที่อยู่ใหม่เร็วพลัน
เมืองใหญ่ทางตอนเหนือของจีนอย่าง “เซี่ยงไฮ้” และ “ปักกิ่ง” ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่รวมกันเกือบ 50 ล้านคน ก็ต้องผจญกับภัยจากคลื่นความร้อนสูง และมลพิษทางอากาศสาหัสสากรรจ์ โดยผลวิจัยพบว่าตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ทั้งสองเมืองมหาอำนาจมีอุณหภูมิสูงกว่าขีดอันตรายที่ 35 องศาเซลเซียส ซ้ำร้ายปักกิ่งยังขึ้นชื่อเมืองมลพิษทางอากาศอันดับต้นๆของโลก ไม่แปลกใจที่คนปักกิ่งมักใส่หน้ากากออกจากบ้าน และด้วยความเป็นเมืองใหญ่มีประชากรหนาแน่นแบบเดียวกัน ทำให้ “นิวเดลี” ผจญชะตากรรมเลวร้ายไม่แพ้ปักกิ่งเลย แม้จะเคยชินกับอากาศร้อนมากกว่า เพราะอยู่ในพื้นที่มรสุมเขตร้อนของเอเชียใต้
ต่อให้ฉีดสเปรย์ลดโลกร้อนในชั้นบรรยากาศโลกแล้วมันเวิร์กจริงสมราคาคุยของพวกฮาร์วาร์ด แต่เผลอแป๊บเดียวโลกก็จะกลับมาระอุอีกครั้ง ถ้ามนุษย์ไม่เปลี่ยนนิสัยซะใหม่ เลิกเป็นลูกอีช่างชุ่ยกันเหอะ