พายุลึกลับกลางทะเล


พายุประหลาดลึกลับกลางทะเล ที่กำลังบ้าคลั่ง
เรื่องราวและความแปลกประหลาดของท้องทะเลยังมีอีกมาก อย่างเรื่องราวของพายุประหลาด ที่จู่ ๆ ที่ก่อตัวแล้วหายไปอย่างลึกลับนั้นมีปรากฏอยู่มากมาย เรื่องราวเหล่านี้ ผู้ที่ชำนาญเฉพาะทางก็บอกกันไปต่าง ๆ นานา บ้างว่าเป็นการกระทำของมนุษย์ต่างดาว บ้างว่าเกิดการเหลื่อมของประตูมิติอย่างสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า บ้างว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีคนในทวีปแอตแลนติสเป็นผู้ทำให้เกิด ซึ่งแต่ละเรื่องที่กล่าวก็เป็นไปได้ว่า ผู้ชำนาญทางด้านไหนจะเป็นผู้วิเคราะห์

ทีนี้มาดูตัวอย่างของพายุประหลาดที่มีผู้บันทึกไว้ได้ เรื่องที่ว่านี้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เมื่อตีพิมพ์ครั้งแรกนั้นไม่เป็นที่โด่งดัง แต่ภายหลังมีผู้คนพบมากขึ้นและบ่อยขึ้น จึงมีการพูดถึงและนำมาอ้างอิงบ่อยครั้ง เรื่องแรกที่จะกล่าวถึงนี้เป็นเรื่องของกัปตันเรืออังกฤษ ที่บันทึกเรื่องราวไ้ว้ได้ในราวปี ค.ศ. 1945 เมื่อคราวโดนพายุใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างกระทันหัน ระหว่างจะเดินทางไปสก๊อตแลนด์ กัปตันโมฮาวีร์ วอสคัฟฟ์ โดยโดยสารเรือจากฝั่งอังกฤษไปยังหมู่เกาะสก๊อตแลนต์ ระหว่างที่จะไปนั้น ไม่เห็นว่ามันจะมีวี่แววของพายุหรือจะเกิดฝนฟ้าคะนองอย่างไร ท้องฟ้าโปร่งใสประกอบกันเป็นฤดูหนาว ลมก็เลยเย็นสบาย จะมีเหนียวตัวบ้างก็จากไอทะเลที่มันกรุ่น ๆ อยู่ กัปตันว่าไว้อย่างนั้น แค่ครึ่งวันเศษ ๆ ก็ข้ามไปสก๊อตแลนด์ได้แล้ว (สมัยนั้น การเดินทางด้วยเรือข้ามเกาะยังไม่สะดวกสบายเท่าทุกวันนี้ ดังนั้นจึงใช้เวลาค่อนข้างมากอยู่สักหน่อย)

ด้วยความที่กัปตันคุ้นการเดินทะเลจึงไม่เมาเรือแม้ว่าเรือจะโคลงบ้างเพราะลมแรง และเพราะคุ้นกับทะเล อยู่กับทะเลมาตั้งแต่เด็ก ๆ พอขึ้นฝั่งกัปตันก็เดินทางไปพบกับเพื่อน นัยว่าจะได้จัดการเรื่องราวต่าง ๆ ให้มันเรียบร้อย กัปตันโมฮาวีร์เล่าว่า เขาพักค้างคืนสองคืนจึงสามารถจัดการธุระได้เสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง กะว่าวันรุ่งขึ้นจะเดินทางกลับอังกฤษเสียตั้งแต่รุ่งเช้า เขาบอกว่าสองวันที่อยู่ที่สก๊อตแลนด์ไม่มีวี่แววว่าจะเกิดพายุหรือมรสุมเลย เมื่อเริ่มเดินเรือซันไลท์ออกจากฝั่งมาได้พักหนึ่ง กัปตันโมฮาวีร์บอกว่า เขานั่งเล่นกับเพื่อนกำลังดื่มเบียร์ที่ชาวบ้านหมักเอง และทานของว่าง มองไปทางขอบฟ้าลิบ ๆ เห็นเมฆสีเทาก้อนเล็ก ๆ โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา กัปตันและทุกคนไม่ได้สนใจอะไร เพราะคิดว่าเมฆทมึนก็เท่านั้น ไม่ได้คิดว่ามันจะมาพัดเรือกระหน่ำเรือ หรือจะเกิดพายุมหาวินาศอย่างที่กัปตันและคนในเรือกำลังจะได้ประสบหลังจากนี้ ทีนี้พอเรือซันไลท์ออกจากท่ามาได้สักพักใหญ่ ๆ 

เมฆที่เห็นอยู่ลิบ ๆ ก็เริ่มแตกตัวออกขยายจนเต็มขอบฟ้าไกล ๆ นั้น และเพิ่มขนาดขึ้นมาอยา่งรวดเร็ว แต่ถึงกระนั้นคนในเรือและคนขับเรือก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวแต่อย่างใด เพราะยังดูไม่น่าจะเป็นอันตรายอยู่เหมือนเดิม กัปตันโมฮาวีร์บอกว่า เขามารู้สึกแปลก ๆ ก็ตอนที่มันเริ่มขยายตัวเร็วมาก จากที่เห็นลิบ ๆ สุดขอบฟ้า สักครู่ก็แผ่ขยายมาเต็มน่านฟ้าและลามถึงกลางทะเล ประเมินด้วยสายตา เขาบอกว่า มันแทบจะกินอาณาบริเวณถึงหนึ่งในสามของท้องฟ้าแล้ว ลมที่พัดเหนือยอดคลื่นเริ่มตีระลอกแรงขึ้น ยอดคลื่นถาโถมเข้าสู่หัวเรือเพราะกระแสลมแรง

แค่ไม่เกินหนึ่งชั่วโมง เมฆสีเทาแก่ ๆ นั้นก็เริ่มปกคลุมท้องฟ้าไปจนเกือบทั้งหมด เหลือเพียงช่องโหว่ที่พอจะเห็นท้องฟ้าสีฟ้าอยู่สองสามแห่ง และมันก็เริ่มมืดมิดไปในเวลาไม่นานนัก คราวนี้แหละสิ่งที่กัปตันและคนในเรือไม่นึกไม่ฝันถึงได้เริ่มน่ากลัว เพราะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นขอบฟ้า ไม่เห็นอะไรเลย มีแต่เมฆสีเทาเกลื่อนไปหมด ลมเริ่มพัดแรงขึ้นทีละนิด ๆ กัปตันโมฮาวีร์ว่า "ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้าก็เห็นสายฟ้าที่แลบอยู่ในก้อนเมฆเหมือนกับหนอนหรืองูตัวใหญ่เลื้อยไปตามซอกก้อนเมฆ และก้อนเมฆนั้นก็ดูต่ำมากจนแทบจะเอามือคว้าไว้ได้เลยทีเดียว" แต่ไม่เกินสองสามนาที กัปตันและผู้คนในเรือก็เริ่มขวัญเสีย เมื่อจู่ ๆ ฟ้าก็ผ่าลงมากลางทะเล สายฟ้าสีเหลืองทองลั่นเปรี๊ยะ และพุ่งลงมาเป็นเส้นตรง เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว ท้องทะเลสว่างวาบ สว่างจนแสบตาด้วยแสงที่แรงกล้าของท้องฟ้า และมันก็มืดลงทันทีพร้อมกับเสียงดังเปรี้ยงตามมา จนดังสนั่นไปทั่วท้องน้ำ จากนั้นฟ้าเริ่มผ่าลงมาไม่หยุด ผ่าถี่ติด ๆ กัน และลงไปยังที่เดียวกันจนเกือบจะถูกเรืออยู่หลายครั้ง มีผ้าแลบแปลบ ๆ เลื้อยไปเลื้อยมาอยู่เหนือเรือ

กัปตันเรือซันไลท์ และคนในเรือหลายคนขวัญเสียลงทุกที ๆ แล้ว แต่สิ่งที่น่ากลัวจริง ๆ กลับปรากฏขึ้นมาต่อจากนั้น ไม่นานฝนเม็ดแรกก็เริ่มโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า คราวนี้ยิ่งมองอะไรไม่เห็นใหญ่ กัปตันเรือซันไลท์ต้องังคับเรืออย่างเคร่งเครียด เพราะคราวนี้คลื่นลูกใหญ่ ๆ เริ่มทยอยกันมาปะทะเรือเรื่อย ๆ จากลูกเล็ก ๆ เบา ๆ เป็นแรงขึ้น ๆ ทุกที กัปตันโมฮาวีร์คิดว่าเรือคงล่มแน่ เพราะคลืนลูกใหญ่ยักษ์โยนเรือลอยละลิ่ว อาศัยกัปตันบังคับเรือซันไลท์อ่างชำนาญ เลยนำหัวเรือหันสุ่คลื่นแล่นฝ่าต่อไปได้ คลื่นลูกใหญ่ลูกแล้วลูกเล่าทยอยถาโถมเข้ามา สายฝนและสายฟ้านับไม่ถ้วนต่างก็กระหน่ำ ฟ้าผ่าลงตรงจุดเดียวนับสิบหนได้แล้ว จนทุกคนต้องลงไปอยู่ในเคบิน ฝนสาดไปหมด ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยง ๆ ตลอดเวลา เรือเอียงซ้ายเอียงขวา กัปตันคิดว่าคราวนี้จอดแน่ ๆ

แล้ว ชั่วครู่ก็มีเสียงโครมใหญ่บนดาดฟ้า กัปตันโมฮาวีร์วิ่งขึ้นไปดูด้วยความเคยชิน ปรากฏว่าเห็นปลาประหลาดตัวใหญ่มาก กระโดดขึ้นมาดิ้นกระแด่ว ๆ อยู่หัวเรือ กัปตันโมฮาวีร์สั่งให้ลูกเรือรีบเอาปล่อยลงทะเบเพราะคนเรือถือเรื่องโชคลาง ปลากระโดดขึ้นมาแบบนี้ถ้าเอาไว้ไม่ปล่อย เรือจะอัปปาง คนเรือฝั่งยุโรปแต่โบราณเขาเชื่อเช่นนี้

ฝนตกหนักมากจนแทบไม่รู้ทิศ แต่อาศัยกัปตันเรือซันไลท์เดินเรือจนเจนทิศทางรู้ว่าจะไปทางไหนโดยไม่หลง กัปตันบอกว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกันสำหรับคนเป็นกัปตันที่ต้องคุมสถานการณ์ให้ได้ ท่ามกลางฟ้าฝนที่กระหน่ำอย่างหนัก เพราะหันหน้าไปทางไหนก็ไม่แตกต่างกันสักนิดเดียว ทุกทิศทุกทางล้วนเห็นแต่ทะเลสีเทากับสายฝน สายฟ้าที่กระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา เบื้องต้นเป็นเมฆฝนสีเทาที่ปกคลุมมืดมิดไปหมด ไม่สามารถส่งสัญญาณใด ๆ ได้ทั้งนั้น ดังนั้นคนที่ทำหน้าที่กัปตันเรือในเวลานี้จะตึงเครียดที่สุด เพราะทุกชีวิตในเรือฝากไว้กับเขาเพียงคนเดียว

กัปตันโมฮาวีร์ขึ้นไปคุยกับกัปตันเรือซันไลท์ ก็เห็นเขาถือพังงาเรือด้วยมือข้างเดียวมองตรงไปข้างหน้าเท่านั้น กัปตันเรือซันไลท์บอกกัปตันโมฮาวีร์ว่า ตอนนี้พงงาเรือแข็งมาก จะบังคับไม่ได้แล้ว กัปตันยังคงมุ่งหน้าต่อไปแม้จะมองอะไรไม่เห็น คลื่นหัวเรือแตกปะทะเรืออยู่โครม ๆ ฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะซาลงเลย กัปตันโมฮาวีร์รู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่นานแสนนาน พายุก็โยนเรืออย่างกับของเล่น หลายครั้งที่ฟ้าผ่าเฉียดเรือไป หลายคนบนเรือเริ่มขอพรพระผู้เป็นเจ้า

ครั้งหนึ่ง กัปตันโมฮาวีร์ที่ขึ้นไอยู่บนสะพานเรือก็เงยหน้ามองพายุ เขาว่าเขาเห็นอะไรแปลก ๆ บางอย่างลอยตัวอยู่บนท้องฟ้า สิ่งนั้นมีสีดำเหมื่อนแผ่นวงกลมขนาดใหญ่เคลื่อนที่อยู่ระหว่างเมฆสีเทาที่ลอยไปมา แผ่นหรือจานอะไรทีว่านั้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ต่ำกว่า 10 เมตร มันพยายามหลบเร้นไปตามก้อนเมฆเพื่อพรางตัว แต่ก็มีคนเห็น มันคืออะไร ทันทีที่กัปตันโมฮาวีร์เห็นมันก็เคลื่อนที่หลบไปในความมัวซัวของเมฆฝนนั้น เขาไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร และกำลังทำอะไรอยู่

แต่เชื่อว่า พายุใหญ่ที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันนี้ สิ่งนั้นมันอาจจะอยู่เบื้องหลังก็เป็นได้ และก่อนที่ฝนจะหยุด กัปตันก็เห็นเมฆบนฟ้าเป็นสีแดงฉาน เหมือนกำลังจะระเบิดออก แต่แสงนั้นค่อย ๆ หรี่แสงลงหลายเป็นเมฆธรรมดาสีอมเทาแล้วก็ดับแสงไป ทันที่ที่ดับแสงลง ฝนก็หยุดตกลงมาซะเฉย ๆ ก่อนที่ฝนจะหยุดฟ้าผ่าอีกสองสามครั้งที่จุดเดิมซ้ำ ๆ กันหลายครั้ง จากนั้นท้องฟ้าที่มืดมัวดำทะมึนก็ค่อย ๆ แยกตัวออกจากกัน พายุร้ายผ่านไปแล้ว มันไม่ได้เคลื่อนที่ไปเหมือนเมฆธรรมดา ๆ แค่ชั่วเวลาไม่นานมันก็จางตัวออก จากสีดำจนเป็นเทา และเทาจนเป็นขาว จนกระทั่งหายไปหมด

ไม่นานเมฆสีเทาก็เคลื่อนตัวกลับไปอยู่ริมขอบฟ้าเหมือนเดิม และค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกห่างจากเรือไปทุกที ๆ สองกัปตนถอนหายใจอย่างโล่งอก หลายคนเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ครั้งนี้คือพายุประหลาดที่กัปตันโมฮาวีร์และผู้คนบนเรือซันไลท์ประสบมา บัดนี้ กัปตันเข้าใจถึงคำว่า คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล เพราะประสบการณ์ครั้งนั้น แต่กระนั้นเมื่อนำมาเปิดเผยแล้วก็ไม่มีใครที่จะสามารถบอกได้ว่า สิ่งที่กัปตันทั้งสองและลูกเรือซันไลท์พบนั้นมันคืออะไร และปริศนาที่ว่านั้นยังคงเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้
เหตุการณ์เมื่อฝนหยุดตก


โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เมฆสีมุก เมฆสารพัดสีปรากฏการณ์เมฆแปลกๆที่หาดูได้ยากมาก

Troll A นอร์เวย์ แท่นขุดเจาะก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก...

อารยธรรมต่างดาวอาจตรวจจับสัญญาณโทรศัพท์มือถือของเราได้