เมื่อไวรัสยักษ์โบราณอายุกว่า 30,000 ปี คืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง


เมื่อไวรัสยักษ์โบราณอายุกว่า 30,000 ปี คืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง
  
ค้นหา เมื่อทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแอกซ์-มาร์กเซย์ ในประเทศฝรั่งเศส ค้นพบว่า ไวรัสขนาดยักษ์ ที่ถูกฝังอยู่ในสภาพ ” เพอร์มาฟรอสต์ ” คือถูกแช่งแข็งมาตลอดระยะเวลา 30,000 ปีจากรัสเซีย สามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้เมื่อหลุดพ้นจากสภาวะดังกล่าว ข้อมูลนี้ได้สร้างความกังวล ทั้งในแวดวงวิชาการด้านบรรพชีวินวิทยาและชีววิทยา เนื่องจากวิตกว่า จะมีผลกระทบต่อมนุษย์หรือไม่

ไพโธไวรัสยักษ์โบราณอายุ 30,000 ปี
ขนาดของมันใหญ่มากเมื่อเทียบกับไวรัสชนิดอื่นๆ

ข้อมูลจาก ฌ็อง-มิเชล คลาเวรี หนึ่งในทีมวิจัยและเป็นผู้ร่วมเขียนผลการวิจัยครั้งนี้
ไวรัสยักษ์โบราณดังกล่าวได้มาจากการเจาะชั้นน้ำแข็งเพื่อเก็บรวบรวมตัวอย่างจากยุคโบราณ จากบริเวณ โคลิมา ในพื้นที่ด้านตะวันออกไกลของรัสเซีย เมื่อปี 2000 ด้วยวิธีการใช้หัวเจาะที่เป็นท่อกลวงเจาะลึกลงไปในชั้นน้ำแข็งบริเวณริมหน้าผา ก่อนดึงขึ้นมาเก็บเป็นตัวอย่างป้องกันไม่ให้มีการปนเปื้อนจาก ไวรัสและแบคทีเรีย ใหม่ๆ ในยุคนี้
โดยในน้ำแข็งตัวอย่างดังกล่าวพบ “ไวรัส ที่ไม่เคยรู้จัก” กันมาก่อนชนิดหนึ่ง มีขนาดใหญ่มากจนเรียกได้ว่าเป็น ไวรัสยักษ์ เมื่อเทียบกับ ไวรัส ในปัจจุบัน

เชื่อว่า ไวรัสยักษ์โบราณเป็นวิวัฒนาการมาจากปรสิตเซลล์เดียวในยุคโบราณ และเมื่อตรวจสอบพันธุกรรมพบว่า มีเพียง 1 ใน 3 ของพันธุกรรมของมันเท่านั้นที่เหมือนกับพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่เรารู้จักกัน และมีเพียง 11 เปอร์เซ็นต์ของพันธุกรรมเท่านั้นที่เหมือนกับไวรัสที่พบกันอยู่ในปัจจุบัน พวกเขาตั้งชื่อมันว่า ” ไพโธไวรัส ”
วิเคราะห์โอกาสเกิดผลกระทบ

ปัญหาก็คือ เมื่อนำไวรัสยักษ์โบราณคืนชีพเข้าไปใกล้กับอะมีบา (สัตว์เซลล์เดียวคล้ายเมือก) กลุ่มหนึ่งในห้องทดลอง อะมีบาบางส่วนแตกออกและตายไป โดยพบว่าเจ้า ไพโธไวรัส ดังกล่าว เมื่อคืนชีพขึ้นมาแล้วเป็นตัวการฆ่าอะมีบาพวกนั้น
ซึ่งจากการที่มันสามารถติดต่อ หรือทำอันตรายต่อสัตว์เซลล์เดียว ทำให้เกิดผลอนุมานในทางวิชาการได้ว่า ไวรัส หรือเชื้อโรคร้ายอื่นๆ ซึ่งถูกเก็บกักอยู่ในสภาพเป็นน้ำแข็งตลอดเวลา หรือ เพอร์มาฟรอสต์ นั้นก็สามารถคืนชีพได้เช่นเดียวกัน

คลาเวรี ชี้ว่า ถ้าเป็น ไวรัส ที่ระบาดในหมู่สัตว์เซลล์เดียวได้อย่าง ” ไพโธไวรัส ” ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็น ไวรัส ที่เคยระบาดและส่งผลกระทบต่อมนุษย์ในยุคก่อน อย่างเช่น มนุษย์นีแอนเดอร์ธัล (เชื่อกันว่าใช้ชีวิตอยู่ในแถบไซบีเรียเช่นกันในราว 28,000 ปีก่อน) ก็น่าวิตก
ที่น่าวิตกเพราะ ไวรัส ดังกล่าวสูญหายไปนานแล้ว นานจนระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน ไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะรับมือ หรือทำลายมันได้อีกต่อไป เมื่อระบาดอาจก่อให้เกิดการสูญเสียอย่างกว้างขวางได้ ยิ่งโลกร้อนขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลายมากขึ้นเรื่อยๆ โอกาสเสี่ยงที่ไวรัสยุคโบราณจะกลับมาอาละวาดก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
แต่นักวิทยาศาสตร์บางคนกลับไม่เห็นว่าเรื่องนี้น่าวิตก

อย่างเช่นเคอร์ติส ซัทเทิล นักไวรัสวิทยาทางทะเล จากมหาวิทยาลัยบริติช โคลอมเบีย ในประเทศแคนาดา ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการศึกษาดังกล่าว ระบุว่า ทุกๆ วัน มนุษย์เราสัมผัสกับ ไวรัส อะไรต่อมิอะไรมากมายนับเป็นล้านๆชนิดอยู่แล้ว ทุกครั้งที่ลงว่ายน้ำทะเลก็จะรับเอา ไวรัส นับพันๆล้านเข้าไปในร่างกาย แต่ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรมากมาย

เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเพราะ ซัทเทิล เชื่อว่า ไวรัส ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์จริงๆนั้น มีไม่มากมายนัก แม้จะรวมเอาพวกที่คืนชีพมาด้วยแล้วก็ตาม เขายังบอกอีกว่า ภาวะน้ำท่วมจนไม่มีที่อยู่อาศัยเพราะโลกร้อน น่ากังวลกว่าเรื่อง ไวรัสคืนชีพ มากมายกว่าด้วยซ้ำไป

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เมฆสีมุก เมฆสารพัดสีปรากฏการณ์เมฆแปลกๆที่หาดูได้ยากมาก

Troll A นอร์เวย์ แท่นขุดเจาะก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก...

อารยธรรมต่างดาวอาจตรวจจับสัญญาณโทรศัพท์มือถือของเราได้